Custom Rich-Text Page

Welcome To My Homepage Photo Photo Photo Photo Custom Rich-Text Page Custom Rich-Text Page Executibe  Secretary Office  Development



 

การพัฒนาสำนักงาน

หน่วยที่  3

การอำนวยการหรือการสั่งการและการมอบหมายงาน

                   การบริหารงานจะประสบความสำเร็จได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ  หลายปัจจัยด้วยกัน  ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ  เสมือนเรื่องการจัดคนเข้าทำงาน  ซึ่งเป็นภาระหน้าที่หลักของผู้บริหารในการจัดบุคลากรเข้าทำงาน  ดูแลและสั่งการเพื่อให้งานต่าง  ๆ  บรรลุตามวัตถุประสงค์ในแต่ละระดับขององค์การ

                   การอำนวยการหรือการสั่งการเป็นกระบวนการแจ้งบุคคลในองค์การถึงสิ่งที่ต้องกระทำเป็นหน้าที่หลักของผู้บริหารในระดับต่าง  ๆ  จะต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพนอกเหนือจากหน้าที่ต่าง  ๆ  ในการบริหาร  กิจกรรมหรือองค์ประกอบของการอำนวยการจะประกอบด้วยแรงจูงใจ  (Motivation)  การติดต่อสื่อสาร  (Communication)  และความเป็นผู้นำ  (Leadership)  ซึ่งผู้บริหารจะต้องพิจารณาประสานงานหรือสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานต่อองค์การเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด

  1.  การอำนวยการหรือการสั่งการ

ความหมายของคำว่า  "การอำนวยการหรือการสั่งการ"

                     การสั่งการหรือการอำนวยการ  หมายถึง  การที่ผู้บริหารใช้อำนาจหน้าที่ของตนกระตุ้นจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอุทิศตนร่วมแรงร่วมใจกับสมาชิกอื่นในองค์การ  เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การ (พะยอม  วงศ์สารศรี,  2538  :  188)

                   การอำนวยการ  หมายถึง  การที่ผู้บริหารใช้ความสามารถชักจูงหว่านล้อมให้ลูกจ้าง  คนงานหรือผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชารับงานไปปฏิบัติเพื่อให้งานนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ(จุมพล  หนิมพานิช,  2536  :  4)

                   การสั่งการ  คือ  การใช้ศิลปะความสามารถของผู้บริหาร  ในการชักจูงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานตามที่ต้องการอย่างดีที่สุด  จนองค์การสามารถบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์(ศิริพร  พงศ์ศรีโรจน์,  2537  :  169) 

                  สรุปได้ว่า   การอำนวยการหรือการสั่งการ  หมายถึง  การใช้ทักษะในการบริหารตลอดจนความสามารถของผู้บริหาร  ในการติดต่อประสานงาน  สั่งการและกระตุ้นให้พนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง  เพื่อให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

                    การอำนวยการหรือการสั่งการ  เป็นกระบวนการที่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชา  เพื่อแจ้งให้ทราบว่า  ให้ใครทำ  ทำอะไร  ทำที่ไหน  ทำอย่างไร  และทำเมื่อใด

                    การอำนวยการหรือการสั่งการ  เป็นภาระหน้าที่ของผู้นำ  การใช้ความสามารถในการสั่งงาน  การตัดสินใจ  การจูงใจและการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานอย่างดีที่สุด  จะกระทั่งองค์การสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้

  2.  ประเภทของการสั่งการ

                   ในการสั่งการมีหลายแบบ  แล้วแต่ละใช้แบบไหน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน  และตำแหน่งหน้าที่  จึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณา  ใช้ความสุขุมรอบคอบ  และยังเป็นเทคนิคเฉพาะตัวอีกด้วย

                   1.  การสั่งการโดยตรง  (Demand  of  Direct)  เป็นแบบออกคำสั่ง  (Command  of  Direct) 
โดยที่ผู้รับคำสั่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งทันที  การสั่งการในลักษณะนี้มักจะใช้ในกากรณีฉุกเฉิน  หรือต้องการให้มีการควบคุม  หรือรักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด

                   2.  การสั่งการแบบขอร้อง  (Request)  เป็นลักษณะโน้มเอียงไปในทางขอความช่วยเหลือหรือร้องขอ เพื่อเป็นการจูงใจคนให้ทำงาน เป็นการผูกมิตร  และผู้ทำมีความเต็มใจที่จะทำงาน  หรือใช้ในกรณีที่ต้องการให้ผู้รับมอบงานได้มีโอกาสพิจารณาและไตร่ตรองงานเป็นความภาคภูมิใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน

                   3.  การสั่งการแบบข้อเสนอแนะหรือคำแนะนำ  (Suggested)  การสั่งการแบบนี้มีลักษณะที่เร่งเร้ายั่วยุให้เกิดความคิดริเริ่มอยากทำงาน เป็นการเสริมสร้างหรือส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานให้ทำงานรวดเร็วและมองเห็นลู่ทางในการปฏิบัติงาน

                   4. การสั่งการแบบอาสาสมัคร  (Volunteer)  มักจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัตินอกเหนือจากหน้าที่ที่จะต้องถือปฏิบัติ  ซึ่งมักจะใช้ในงานที่มีการเสี่ยงอันตราย  งานไม่เร่งด่วนหรืองานที่ต้องการฝีมือ

                  ข้อควรคำนึงในการใช้การ

                  ในการสั่งการมักเกิดปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับการสั่งการ  เช่น  การสั่งการไม่ชัดเจน  คลุมเครือเป็นปัญหาแก่ผู้รับคำสั่งไปปฏิบัติงาน  ดังนั้น  จึงควรพิจารณาถึงลักษณะของการสั่งการที่ดีว่ามีอย่างไรในการสั่งการที่ดีควรจะคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้  คือ

                   1.  ความสามารถในการทำงานของผู้รับคำสั่ง

                   2.  ภาระหน้าที่การทำงาน  หรือปริมาณงานที่ผู้จะต้องคำสั่งจะพึงกระทำได้

                   3.  อุปกรณ์และความสะดวกสบายในการปฏิบัติงานมีพร้อมหรือไม่

                   4.  การสั่งงานควรเป็นสื่อข้อความสองทางที่ต้องการความเข้าใจทั้งสองฝ่าย

                   5.  ควรเปิดโอกาสให้ผู้รับคำสั่งได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานบ้าง

  3.  ลักษณะของการสั่งการ


                   ลักษณะของการสั่งการ  อาจจำแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆ  ได้  2  ประเภท  คือ

                   1.  การสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร    เป็นการสั่งการที่ใช้ในกรณีต่าง ๆ  ดังต่อไปนี้  เช่น  เมื่อต้องการจะส่งคำสั่งไปให้อีกแห่งหนึ่งทราบโดยชัดเจน  เมื่อรับคำสั่งมีความเข้าใจช้าหรือลืมคำสั่งนั้นหรือมีลายละเอียดปลีกย่อยมาก  ยากแก่การจดจำ  เมื่อต้องการให้ผู้รับคำสั่งเป็นการรับผิดชอบโดยตรงให้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างถูกต้อง  หรือเป็นคำสั่งที่เป็นตัวเลข  และหรือกำหนดเวลา  จำนวนแน่นอน  ฯลฯ

                      ข้อบกพร่อง  ที่อาจเกิดจากการสั่งการด้วยลายลักษณ์อักษร  อาจทำให้ผู้ปฏิบัติขาดความสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  ได้แก่ 

                    1.  ข้อความของคำสั่งยาวเกินไป  อาจมีการตีความผิดพลาดหรือจำไม่ได้

                    2.   ซับซ้อนยุ่งยากต่อความเข้าใจ

                    3.   ไม่เรียงลำดับให้เข้าใจง่าย  หรือคำสั่งมอบหมายให้ปฏิบัติไม่ชัดเจน

                    4.  ใช้คำศัพท์ทางวิชาการ (Technical  term) มากเกินไป ผู้รับคำสั่งอาจไม่เข้าใจความหมายหรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน

                   5.  ผู้รับคำสั่งไม่ได้รับอำนาจและขาดอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน

                   2.  การสั่งด้วยวาจา    โดยปกติมักจะเป็นคำสั่งที่ไม่ค่อยมีรายละเอียดหรือมีความสำคัญมากนักและคำสั่งนั้นไม่เหมาะสมจะสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร  หรืออาจจะต้องมีการอธิบายคำสั่งที่เป็นรายลักษณ์อักษรให้เข้าใจยิ่งขึ้น

                  ข้อบกพร่อง    ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานด้วยวาจา  ได้แก่

                   1.  พูดไม่ชัดเจน  ทั้งคำถานและคำตอบ

                   2.  ใช้คำสั่งในภาษาที่ผู้รับคำสั่งไม่คุ้ยเคย

                   3.  คาดการณ์ผิด  คิดว่าผู้รับคำสั่งเข้าใจดีแล้ว  ไม่ได้ทบทวนใหม่หรือย้ำคำสั่ง

                   4.  ไม่เจาะจงผู้รับคำสั่ง  หรือทบทวน  หรือพูดหลายเรื่องพร้อมกัน

                   5.  คำสั่งยาวมากเกินไปสำหรับเรื่องเดียว

                   6.  ไม่ถูกกาลเทศะ

                   7.  ใช้คำศัพท์ทางวิชาการมากเกินไป

  4.  ศิลปะในการสั่งการ


                 การสั่งการที่ดีจะต้องเป็นการสั่งการที่ผู้รับคำสั่งสามารถปฏิบัติได้  ผู้รับคำสั่งจะต้องมีอำนาจ  เวลา  และอุปกรณ์ในการดำเนินงานเพียงพอที่จะปฏิบัติจัดทำได้ตามคำสั่งนั้น  ๆ  การออกคำสั่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จ  หรือความล้มเหลวของงานมาก  การออกคำสั่งที่เป็นศิลปะที่สำคัญในการบริหารที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความสำเร็จของการออกคำสั่งที่ดี  ควรมีการสั่งการที่ดีดังนี้  คือ  (ศิริพร  พงศ์ศรีโรจน์, 2537  :  174)

                   1.  เป็นสิ่งที่ผู้รับคำสั่งสนใจ  เช่น  เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่  หรือเมื่องานนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว  อาจได้รับประโยชน์ตอบแทนในทางที่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่  ลักษณะการออกคำสั่งที่ดี  ควรมีลักษณะเป็นการจูงใจหรือน้อมให้ผู้ปฏิบัติงานตามคำสั่งมีความเห็นคล้อยตามและพยายามปฏิบัติด้วยความเต็มใจ  ลักษณะคำสั่งที่ดีเช่นนี้จะทำให้ได้ทั้งงานและน้ำใจ

                   2.  เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน  เช่น  เป็นงานที่เมื่อทำสำเร็จแล้งจะทำให้งานของหน่วยงานที่ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

                   3.  คาดการณ์ดีและสมบูรณ์  กล่าวคือ  เป็นคำสั่งที่คาดการณ์ให้เหมาะสมใกล้เคียงกับกิจการหรือภาวะที่ต้องปฏิบัติ  ทั้งคำสั่งที่ครอบคลุมกิจการการงานที่ต้องปฏิบัติ  ไม่เป็นคำสั่งชนิดที่สั่งเพิ่มเติมทีละเล็กทีละน้อย  ควรระมัดระวังอย่าให้คำสั่งที่ออกไปเกิดความขัดแย้งกับคำสั่งเดิม  หากมีข้อความที่จำเป็นจะต้องออกคำสั่งใหม่  ควรถือโอกาสแจ้งให้ผู้ปฏิบัติทราบถึงสาระความสำคัญของการคำสั่งเก่าด้วยเพื่อป้องกันความขัดแย้งสงสัยที่อาจจะเกิดขึ้น  เมื่อนำคำสั่งใหม่มาปฏิบัติ

                   4.  คำสั่งนั้นเหมาะสม  คือเป็นคำสั่งที่ชัดเจน  เข้าใจง่าย  ไม่ยุ่งยาก  มีความกะทัดรัด  ต้องพยายามมีการเลือกสรรถ้อยคำที่เข้าใจง่ายไม่เป็นคำที่อาจแปลความหมายได้หลายทาง  พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือโดยเด็ดขาด

                   5.  ไม่มีการผิดพลาด  ถ้าเป็นคำสั่งประเภทลายลักษณ์อักษรต้องไม่ให้มีการผิดพลาดได้เป็นอันขาด  โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวเลข  เช่น  เวลา  จำนวนเงิน  เป็นต้น

                   6.  การสั่งด้วยวาจา  ไม่ควรออกคำสั่งด้วยความรีบร้อน  หรือขาดความระมัดระวัง  ทำให้กลายเป็นขู่เข็ญหรือบังคับไป  ควรสำรวมจิตใจให้อยู่ในสภาพปกติ  ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น  เพราะว่าการออกคำสั่งด้วยความรีบร้อน  ตื่นกลัวหรือตกใจ  อาจทำให้ผู้รับคำสั่งตกใจไปกับกิริยาท่าทางของผู้ออกคำสั่ง  จึงควรระมัดระวังกิริยาท่าที่ในการออกคำสั่งให้ดีที่สุด

                   7.  พยายามหลีกเลี่ยงการสั่งการด้วยอารมณ์เด็ดขาด หากมีความจำเป็นที่จะต้องออกคำสั่งในขณะที่อารมณ์หรือความรู้สึกไม่ปกติ ควรพยายามระงับและสงบสติอารมณ์ให้ดีเสียก่อน เพราะการออกคำสั่งด้วยอารมณ์นอกจากจะไม่เกิดผลดีต่อการปฏิบัติงานแล้วยังเป็นการแสดงถึงภาวะผู้นำอันไม่งดงานของผู้ออกคำสั่งด้วย

                   8.  กล้ารับผิดชอบต่อคำสั่งที่ออกไปเสมอ  ไม่ว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียประการใดหากเกิดความผิดพลาดขึ้นจะต้องยอมด้วยความเต็มใจ แต่ถ้าเกิดผลดีควรพยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นผลจาก

การปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ๆ ของหมู่คณะหรือผู้ปฎิบัติตามคำสั่งนั้น  ๆ  จะสร้างความมั่นใจแก่ผู้รับคำสั่งและสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างผู้ออกคำสั่งและผู้รับคำสั่ง

                     การออกคำสั่งเป็นศิลปะที่สำคัญต่อการบริหารเป็นอันมากก  เป็นความจริงที่ว่าทุกคนสามารถออกคำสั่งได้ แต่ความสำเร็จของผลงานที่เกิดจากคำสั่งนั้นอาจแตกต่างกัน  ดังนั้น  นักบริหารหรือหัวหน้างานที่ดี จึงควรมีศิลปะแห่งการออกคำสั่งที่ดีด้วย เพื่อช่วยเสริมสร้างภาวะผู้นำและการบริหารให้ดีเด่นยิ่งขึ้น

 5. การตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ

             ผู้บริหารระดับสูงองค์การ นอกการจะมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานของผู้ใต้บังคับชาแล้วยังมีหน้าที่ สำคัญอีกประการหนึ่ง  คือ  หน้าที่ในการตัดสินใจสั่งการให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้งานดำเนินไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

                        การตัดสินใจหรือการวินิจฉัยสั่งการเป็นกระบวนการขั้นที่สุดขั้นหนึ่งในการบริหารงานจะไม่เกินขึ้นถ้าไม่มีการวินิจฉัยสั่งการ  หรือถ้าสั่งการช้างานก็จะล่าช้าตามไปด้าย

                   ความหมายของการวินิจฉัยสั่งการ

                        การตัดสินใจหรือการวินิจฉัยสั่งการ  หมายถึง  "การเลือกปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติหรือการเลือกทางดำเนินการที่เห็นว่าดีที่สุดทางใดทางหนึ่งจากทางเลือกหลาย  ๆ  ทาง  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ"  หรือการวินิจฉัยสั่งการ  คือ  การชั่งใจไตร่ตรอง  และตัดสินใจเลือกทางดำเนินงานที่เห็นว่าดีที่สุดทางใดทางหนึ่งจากหลาย  ๆ  ทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ  (ศิริพร  พงศ์ศรีโรจน์, 2537 : 177)

                        การตัดสินใจ  เป็นกระบวนการกำหนดปัญหา  การพิจารณาโอกาส  การประเมินทางเลือก  การตัดสินใจ  การปฏิบัติ  และการประเมินผลลัพธ์ในทางเลือกนั้น

                         ทางเลือกในการตัดสินใจมี  3  กรณี  คือ

                         1. การตัดสินใจภายใต้ความแน่นอน  ซึ่งนอน ซึ่งทราบถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

                         2. การตัดสินใจภายความเสี่ยง  กรณีนี้ความน่าจะเป็นของผลลัพธ์สามารถคาดคะเนได้

                         3. การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน  ไม่สามารถทราบหรือคาดคะเนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นโดยขาดความน่าจะเป็นของวัตถุประสงค์

                        แบบของการตัดสินใจ

                          1. การตัดสินใจโดยใช้สามัญสำนึก

                     2. การตัดสินโดยใช้เหตุผล

                        องค์ประกอบและปัจจัยต่าง  ๆ  ที่นำมาตัดสินใจ

                                1. เวลาและสถานการณ์ที่เป็นอยู่  รวมทั้งปัญหา

                           2. ปัจจัยเกี่ยวกับตัวบุคคลและสถานที่

                           3. ปัจจัยที่เกี่ยวกับค่านิยมของสังคม

                           4. ปัจัยเกี่ยวกับอุปกรณ์  เครื่องมือเครื่องใช้  เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามคำสั่ง

                          ขั้นตอนในการตัดสินใจประกอบด้วยประเด็นสำคัญ  คือ  การกำหนดปัญหา  การตัดสินใจเลือกทางเลือกต่าง  ๆ  และการประเมินผลจากการตัดสินใจนั้น  ขั้นตอนตัดสินใจมี  8  ขั้น  คือ

                           ขั้นที่  1  กำหนดปัญหาและรวมรวบหลักฐาน  ต้องมีการยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้น

                           ขั้นที่  2  กำหนดเกณฑ์ในการตัดสินสินใจ  เกณฑ์นี้จะต้องเป็นเกณฑ์มาตรฐานและสามารถวัดได้

                           ขั้นที่  3 จัดสรรน้ำหนักของเกณฑ์  ว่าเกณฑ์ใดควรจะเป็นเกณฑ์มาตรฐานและสามารถนำมาใช้ได้

                           ขั้นที่  4 เป็นขั้นพัฒนาทางเลือก  เป็นการพัฒนาทางเลือกต่าง  ๆ  ที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้จะมีทางปฏิบัติได้กี่ทาง  โดยวิธีอย่างไรบ้าง

                           ขั้นที่  5  เป็นการวิเคราะห์ว่าทางเลือกแต่ละทางเลือกว่ามีคุณสมบัติเด่น  ด้อย  อย่างไรในการวิเคราะห์ควรคำนึงถึงประเด็นสำคัญ  6  ประเด็น  คือ  ใคร  (who)  ทำไม  (why)  อะไร  (what)  ที่ไหน  (where)  เมื่อไร  (when)  และอย่างไร  (How)  หรือ  เรียกว่า  "5 w. S  and  1  H"

                   ใคร  (who)

  •  ใครเป็นผู้วินิจฉัย
  •  ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลการวินิจฉัย
  •  ใครเป็นผู้รับทราบคำสั่งเมื่อได้วินิจฉัยสั่งการแล้ว
  •  ใครเป็นผู้ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยสั่งการนั้น

                   ทำไม  (why)

  •  ทำไมจึงต้องสั่งการ
  •  เพราะเหตุใด
  •  ไม่สั่งการจะได้หรือไม่
  •  การสั่งกับไม่อย่างไหนจะทุ่นเงินกว่ากัน

                   อะไร  (what) 

  •  ท่านจะต้องวินิจฉัยสั่งการในเรื่องอะไร
  •  มีนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างที่จะช่วยในการวินิจฉัยสั่งการ
  •  มีข้อเท็จจริงอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับใช้ในการวินิจฉัยสั่งการ
  •  มีข้อเท็จจริงอะไรบ้างที่พร้อมแล้ว
  •  ยังขาดข้อเท็จจริงอะไรบ้าง และในกรณีใดที่ต้องใช้การตัดสินใจแทนข้อเท็จจริง
  •  มีประโยชน์อะไรบ้างที่จะได้จากการวินิจฉัยสั่งการ
  •  มีข้อเสียอะไรบ้างที่อาจจะเกิดขึ้นจากการวินิจฉัยสั่งการ
  •  มีอะไรที่จำกัดขอบเขตเกี่ยวกับการวินิจฉัยสั่งการภายในอำนาจหน้าที่ของท่านบ้าง

                   ที่ไหน  (where)

  •  ในกรณีที่ต้องการคำปรึกษาหารือ จะไปหาผู้ที่ให้คำปรึกษาหารือได้ที่ไหน
  •  จะค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ที่ไหน

                   เมื่อไร  (when)

  •  จะต้องวินิจฉัยสั่งการเมื่อไร
  •  เมื่อไรจึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับแจ้งผลการวินิจฉัยสั่งการ
  •  เมื่อไรจึงจะนับได้ว่าช้าเกินไปที่จะวินิจฉัยสั่งการ
  •  เมื่อไรจึงจะควรติดตามผลการวินิจฉัยสั่งการ

                      อย่างไร  (How) 

    -   ทำอย่างไรจึงแน่ใจว่าทางแก้ปัญหาที่ได้วินิจฉัยเลือกจากหลาย  ๆ   ทางนั้น  เป็นการวินิจฉัย ที่ถูกต้อง

    -   จะรวมวิธีการหลาย  ๆ  วิธีที่จะแก้ปัญหาเข้าด้วยกันให้เป็นวิธีที่ดีที่สุดได้อย่างไร

    -   จะให้ผู้เข้าร่วมงานมีส่วนร่วมในการวินิจฉัยสั่งการด้วยได้อย่างไร

    -   ทำการอย่างไรจึงจะให้การวินิจฉัยสั่งการบังเกิดผลทางปฏิบัติ

    -  จะสั่งการอย่างไรจึงจะให้เกิดการวินิจฉัยสั่งได้ผลสมบูรณ์ตามความมุ่งหมาย

    -  จะทำอย่างไรจึงจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยสั่งการเห็นชอบและสนับสนุน

ขั้นที่  6   เลือกตัดสินใจสั่งการให้ปฏิบัติตามทางที่เห็นว่าดีที่สุดเมื่อได้พิจารณาชั่งน้ำหนัก  ข้อดีข้อเสีย  ของแต่ละแนวทางที่ได้กำหนดขึ้นอย่างรอบคอบแล้ว  ขั้นต่อไปก็คือพิจารณาสั่งการไปในทางที่เห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ขั้นที่  7   การปฏิบัติตามทางเลือกที่ดีที่สุด

ขั้นที่  8  ประเมินผลในประสิทธิผลการตัดสินใจ  การประเมินผลหรือการติดตามผล   ซึ่งนับว่าเป็นขั้นสำคัญที่สุดอีกข้อหนึ่งว่า  การวินิจฉัยสั่งการนั้นถูกต้องเกิดประโยชน์แชละบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือการวินิจฉัยสั่งการผิดพลาด  จำเป็นต้องแก้ไข

  6.  หลักการมอบหมายงาน

 

                   การมอบหมายงาน  คือ  การมอบหมายงานบางส่วนให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติเป็นการแบ่งเบาภาระงานที่ง่ายของผู้บังคับบัญชา  และในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มภาระการผูกพันแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา

William  H.Newman  กล่าวว่า  การมอบหมายงานมีส่วนประกอบ  3  ขั้นตอน  คือ

                   1.  ผู้บริหารกำหนดภารกิจหน้าที่ให้แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

                   2.  ให้อำนาจ  สิทธิหน้าที่และทรัพยากรตามความจำเป็น

                   3.  พยายามสร้างความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในตัวผู้บังคับบัญชา

หลักการมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพ  จึงควรศึกษาหลักการมอบหมายงาน  ดังนี้คือ

                   1. การมอบหมายงาน  ควรกำหนดวัตถุประสงค์และผลที่คาดว่าจะได้รับแน่นอนLouis A.Allenกล่าวว่า  ผู้ใต้บังคับบัญชาควรได้รับการบอกกล่าวถึงความมุ่งหมาย  ความสำคัญของงาน

                   2. เมื่อมอบหมายอำนาจหน้าที่  ควรได้รับการบอกกล่าวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการรับผิดชอบ

                   3. มีหลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว  เพื่อความชัดเจนในการติดต่อสื่อสารและการรายงานผล

                   4. มีการมอบหมายงานที่มีหลักเกณฑ์  ต้องมอบหมายอำนาจเพียงพอ  เพื่อการปฎิบัติงาน

                   5. ควรคำนึงถึงความสำเร็จของงาน  ควรมอบหมายงานอย่างชัดเจน  และไม่มากเกินไป  และผู้บังคับบัญชาต้องดูแล  รับผิดชอบ  ให้แนวทางช่วยเหลือ  เพื่อให้งานสำเร็จสู่เป้าหมาย

การมอบหมายงานจะมีมากหรือน้อยเพียงใดนั้น  ขึ้นอยู่กับปัจจัย  3  ประการ  คือ

                   1. ลักษณะของผู้บังคับบัญชา  เช่น  การยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น  ความสามารถในการสั่ง   การ  ความเต็มใจ  ความไว้วางใจ  เป็นต้น

                   2. ลักษณะของกิจกรรมที่ทำ  เป็นกิจกรรมที่ยากหรือง่าย  หรือมีความสำคัญมากน้อยแค่ใน

                   3. สภาพบรรยากาศหรือวัฒนธรรมในองค์การ  เช่น  ความเชื่อ  ความเข้าใจ  และบรรทัดฐานของสมาชิกที่อยู่ในองค์การซึ่งมีผลต่อลักษณะของพนักงาน  ผู้บังคับบัญชาและองค์การ

  7.   ประโยชน์ของการมอบหมายงาน

                  การมอบหมายงานทำให้ภารกิจในบางด้านของผู้บริหารลดลง  ในองค์กรใหญ่  ๆ  เช่น  ในระบบราชการ  การมอบหมายงานหรือการมอบอำนาจจะทำกันเป็นลายลักษณ์อักษรแลเป็นกิจจะลักษณะเพื่อถือปฏิบัติกันอย่างชัดเจน  ประโยชน์ของการมอบหมายงานสรุปได้  ดังนี้

                   1.  ช่วยลดภาระของผู้บริหารระดับสูงสุด  ผู้บริหารจะได้มีเวลาสำหรับประกอบภารกิจที่สำคัญกว่า

                    2. การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็ว   เพราะได้มอบหมายอำนาจให้พร้อมกับความรับผิดชอบไปแล้ว  ดังนั้น  ในงานบางอย่างผู้ใต้บังคับบัญชาจึงกล้าที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง  ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปขอคำตัดสินใจจากผู้บังคับบัญชา

                   3.  ช่วยในการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา  เป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้งานอันเป็นการเสริมสร้างคุณภาพ

                   4.  เป็นการสร้างขวัญที่ดีให้แก่ผู้ทำงาน  ผู้ได้รับมอบหมายงานจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจ

                   5.  เป็นการกระจายอำนาจจากบุคคลเดียวไปสู่การช่วยปฏิบัติของคนหลาย  ๆ  คน

                   6.  เป็นการสร้างทีมในการทำงาน  ได้มีโอกาสศึกษาจิตใจและอุปนิสัยซึ่งกันและกัน

                   7.  เป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้สึก  ความคิด  และประสบการณ์  เป็นการเรียนรู้ซึ่งกันกัน

                   8.  เป็นการลดความเสี่ยงหรือความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้เพราะต้องการมีรายงานและตรวจสนอบกัน

                   9.  สามมารถเพิ่มปริมาณงานในเวลาเท่าเดิม  เพราะมีผู้ถือปฏิบัติหลายคนแทนที่ผู้บริหารจะปฏิบัติอยู่คนเดียว

                   10.  การมอบหมายงานเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมีส่วนร่วม  ทำให้มีโอกาสร่วมวางแผนเสนอข้อคิดเห็นและประเมิน  จึงเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มคุณค่าของงานนั้น  ๆ  ด้วย

                   จากการสังเกตการณ์ปฏิบัติงานของบุคลาที่มีส่วนในการบริหารอีกเป็นจำนวนมาก  ยังไม่ค่อยได้มอบหมายงาน  ทำให้การปฏิบัติงานไม่สำเร็จตามวัน  เวลา  ที่กำหนดไว้หรือไม่ได้ตามปริมาณที่ต้องการบางครั้งแม้งานจะสำเร็จแต่ก็ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร  ในหลาย  ๆ  กรณี  ผู้บริหารไม่ต้องการมอบหมาย  โดยมีเหตุผลอ้างว่า  หากมอบงานไปแล้วจะปรากฏผลดังนี้

                   1. มอบหมายไปแล้ว  ผู้รับมอบไม่ทำ

                   2. ถึงก็ไม่ได้ดังใจผู้มอบ       

                   3. บางทีมอบไปแล้วก็ทำไม่สำเร็จ  ค้างคาอยู่

                   4. ถึงทำได้สำเร็จก็ไม่ดีตามความเห็นของผู้มอบ

                   5. บางรายอาจทำได้ดี  แต่ล่าช้ามาก  สู้ตนเองทำไม่ได้ 

                                                     ฯลฯ

  8.  เทคนิคการมอบหมายงาน

                   การมอบหมายหน้าที่การงานให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา  หรือพนักงานเจ้าหน้าที่  เป็นศิลปะสำคัญอีกประการหนึ่งของนักบริหาร  เพราะการที่บุคคลได้ปฏิบัติงานที่ตนมีความสนใจและมีความถนัดหรือมีความรู้ความสามารถอยู่  ย่อมเป็นการจูงใจให้แก่พนักงานนั้น  ๆ  อย่างเต็มที่

                   นอกจากนี้  การมอบหมายหน้าที่การงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติจักทำนี้  ยังรวมไปถึงการมอบอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้วย  ทั้งนี้เพราะว่าการมอบอำนาจหน้าที่จะเป็นการช่วยสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา  ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับความไว้วางใจ  อันถือเป็นการจูงใจในการปฏิบัติงานที่ดีได้อีกวิธีหนึ่ง

                   การมอบหมายงานที่คาดหวังผลนั้น

                   1.  ทำความรู้จักกับงานก่อนมอบ  พิจารณาว่าเป็นงานอะไร  อย่างไร  เป็นงานที่ละเอียดประณีต  ต้องอาศัยระเบียบกฎเกณฑ์หรือเป็นงานที่ต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

                   2.  ทำความรู้จักกับผู้ที่จะมอบ พิจารณาว่างานในข้อ 1  ควรจะมอบให้แก่ผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติและบุคคลดังกล่าวมีอุปนิสัยใจคอ วิธีการและประวัติการทำงานอย่างไร

                   3.  บอกความสำคัญหรือความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ  ชี้แจงแก่ผู้รับมอบว่าเป็นงานที่มีความสำคัญมากน้อยเพียงให้หรือจำเป็นอย่างไรที่ต้องมอบ
                   4.  มอบหมายงานด้วยความชัดเจน  อย่ามอบงานให้ผู้อื่นโดยที่ตนเองก็ไม่มีความเข้าใจในงานนั้น  แม้จะไม่รู้ในรายละเอียดแต่ก็ต้องรู้ทิศทาง  หรือพอมองเห็นขอบข่าย  รู้วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ต้องการ  หรืออย่างน้อยก็ควรจะได้มีการปรึกษาหารือกัน

                   5.  กำหนดผลงานหรือเป้าหมายที่ต้องการ  บอกให้ผู้รับทราบสิ่งที่หวังจะได้หรือต้องการให้ได้อย่างชัดเจน  เพราะต้องเป็นสิทธิของผู้รับมอบที่จะวางแผนหรือหากลวิธีของตนได้

                   6.  จัดทำแผนมอบหมายงาน  ในกรณีที่เป็นภารกิจที่สำคัญ  หรือสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องเป็นระยะยาวควรจะได้จัดทำแผนอันประกอบไปด้วยเป้าหมายและระยะเวลาการดำเนินงาน  หรือรายละเอียดอื่น  ๆ  ไดชัดเจน

                   7.  สนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น  เมื่อมอบหมายงานแล้วก็ต้องให้การสนับสนุน  เช่น  จัดคนให้จัดงบประมาณ  วัสดุอุปกรณ์  ตลอดจนคำแนะนำต่าง  ๆ 

                   8.  จัดระบบควบคุมและติดตามงาน  การมอบหมายงานที่ดีจะต้องมีระบบติดตามว่าทราบผลหรือความก้าวหน้าได้โดยวิธีใด  ควรจะได้ติดตามงานได้เป็นระยะ  ๆ  และสม่ำเสมอ  หรือให้มีการรายงานตามกำหนด

                   9.  ตรวจตราแก้ไขและให้กำลังใจ  เมื่อมอบหมายงานไปแล้วต้องไม่นิ่งนอนใจต้องเรียกมาตรวจสอบ  หากปรากฏว่ามีส่วนที่ไม่ถูกต้องให้คำแนะนำและหมั่นให้กำลังใจ

                  10.  จัดผลประโยชน์ตอบแทน  เพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากของผู้รับมอบงาน  ผู้มอบจำเป็นต้องมีรางวัลตอบแทนบ้างตามสมควร  ทั้งรางวัลใหญ่และเล็ก  เช่น  คำชมเชย  การพิจารณาความดี  ความชอบให้เลื่อนขั้น  ให้ค่าตอบแทน  ฯลฯ

                   โดยทั่วไปมักมีปัญหา  คือ  ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจมักมอบหมายงานให้แต่ไม่มอบอำนาจไห้ด้วยจึงดำเนินการไม่ได้ผลดี  ผู้มอบควรคำนึงถึงหลักที่ว่า  "อำนาจหน้าที่ควรจะเท่ากับความรับผิดชอบ"  นอกจากให้อำนาจแล้วควรอำนวยความสะดวกอื่น ๆ  ด้วย  เพราะการมอบหมายงานมิใช่นโยบายงานให้พ้นตัว  หากแต่จะต้องคอยดูแล  ช่วยเหลือและเอาใจใส่ด้วย

                   การทำงานในสำนักงานผู้บริหารมักมอบหมายงานให้แก่ผู้อื่นนำไปปฏิบัติ  ขณะเดียวกันก็ควรมอบหมายอำนาจหน้าที่ด้วย  เพระการมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้ผู้อื่น  เป็นการช่วยลดภาวะของผู้บริหารให้น้อยลง  เป็นพัฒนาด้วยตัวพนักงานเองให้มีความสามารถในการตัดสินใจเบื้องต้นและเป็นการช่วยพัฒนาด้านขวัญและกำลังใจของพนักงาน

9.    การมอบหมายอำนาจหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ

                   การมอบหมายอำนาจหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพทำได้โดย

                   1.  ผู้บริหารยินดีรับฟังความคิดเห็น  และข้อเสนอแนะต่าง  ๆ  จากพนักงาน

                   2.  ยินยอมให้พนักงานตัดสินใจได้ในเรื่องที่เห็นสมควร  ตามตำแหน่งอำนาจหน้าที่ของบุคคลนั้น

                   3.  ยินยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการกระทำของพนักงานโดยมิได้เจตนา  ควรหาทางแก้ไขปรับปรุงมิให้เกิดขึ้นอีก  ให้พนักงานได้เรียนรู้ในความผิดที่เกิดขึ้น

                   4.  ไว้วางใจผู้ใต้บังคับบัญชา  ในการเป็นผู้แทนกระทำการแทนได้ในกรณีที่เห็นสมควรโดยไม่ได้ควบคุมอย่างใกล้ชิด  แต่ให้อิสระในการทำงานอย่างเต็มที่

                   การมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา  ในบางครั้งผู้บริหารพบว่าพนักงานทำงานบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับฟังคำสั่งนั้น  อาจเนื่องมาจากสาเหตุ  ต่อไปนี้

                   1.  พนักงานผู้นั้นหลีกเลี่ยงงาน  ไม่ยินดีที่จะรับผิดชอบงานใด  ๆ  ผู้บริหารควรหาวิธีการจูงใจให้พนักงานมองเห็นคุณค่าของการทำงานนั้น

                   2.  พนักงานอาจเกรงต่อความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น  เกรงกลัวต่อคำตำหนิคำวิจารณ์ต่าง  ๆ  ผู้บริหารควรเปิดใจให้กว้างยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

                   3.  การขาดทรัพยากรสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน  เช่น  ขาดงบประมาณ  ขาดบุคลากรช่วยเหลือรับงานบางส่วน  หรือไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ในสำนักงานที่เพียงพอ

                   4.  พนักงานขาดความเชื่อมั่นในตนเอง  ไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองว่ามีเพียงพอ  กรณีนี้ผู้บริหารควรให้กำลังใจและเปิดโอกาสให้แสดงความสามารถในการทำงานที่ไม่ยากนักก่อน  เพื่อเป็นแรงจูงใจต่อไป

                   5. พนักงานไม่ได้รับความตอบแทนอย่างยุติธรรม  ทำให้อาจต้องเสียสละหรืองบประมาณส่วนตัวเพื่อการทำงานนั้น  ในกรณีนี้ผู้บริหารควรจัดหาผลประโยชน์ตอบแทนในรูปแบบต่าง  ๆ  ตามความเหมาะสมและความเป็นไปได้  อาจเป็นค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินหรือมิใช่ตัวเงินก็ได้  และการทำงานทุกครั้งบางครั้งไม่จำเป็นต้องทำเพื่อผลตอบแทนเสมอไป  พนักงานอาจเสียสละบ้างในบางครั้ง

                   6.  พนักงานขาดขวัญและกำลังใจในการทำงาน  จึงไม่ต้องการรับมอบงานใด  ๆ  เช่น  พนักงานไม่ได้รับความยุติธรรมในการเลือกปฏิบัติของผู้บังคับบัญชา  ทำให้พนักงานเสียกำลังใจในการทำงาน

10.    การมอบหมายงานให้พนักงานนำไปปฏิบัติ

                   การมอบหมายงานให้พนักงานนำไปปฏิบัติ  ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

                   1.  ลักษณะงานที่จะมอบหมาย  งานนั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด  งานนั้นมีลักษณะเจาะจงสำหรับผู้ปฏิบัติที่มีความเชื่อเชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือไม่  งานเป็นนั้นเป็นงานเร่งด่วนมากน้อยเพียงใด  และงานนั้นเป็นงานที่เป็นความลับเปิดเผยได้หรือไม่

                   2.  ลักษณะของผู้รับมอบหมายงาน  คือ  พนักงานผู้ปฏิบัติ  มีคุณสมบัติในการทำงานนั้นได้หรือไม่ผลงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่  พนักงานเป็นผู้ที่ทำงานช้าหรือเร็วเพียงใด  พนักงานเป็นผู้ที่สามารถรักษาความลับของหน่วยงานได้หรือไม่  ข้อนี้จึงจัดเป็นคุณสมบัติ  (Character)  ของพนักงาน

                   3.  ความสามรถของผู้รับมอบหมายงาน  คือ  ความสามรถในการปฏิบัติงานได้สำเร็จมีความรับผิดชอบมีความมานะพากเพียรพยายามต่อสู้อุปสรรคจากการทำงาน  และมีประสบการณ์ในการทำงานเข้าใจปัญหาและวิธีแก้ไขปัญหาได้

                   ผู้มอบหมายหรือผู้บังคับบัญชา  มีหน้าที่หลักคือการดูแลให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างเรียบร้อยถูกต้องและเหมาะสม  สำเร็จผลตามเป้าหมายที่ต้องการ  รวมถึงการให้คำแนะนำ  ให้กำลังใจ  ให้คำปรึกษาแก่ผู้ปฏิบัติงาน  สร้างบรรยากาศแจ่มใสในการปฏิบัติงาน  ผู้บริหารสำนักงานจึงควรมีความชำนาญเกี่ยวกับงานสำนักงาน  และการบริหารสำนักงานในด้านต่าง  ๆ  ได้แก่

                   1.  ความชำนาญในงานสำนักงาน  หมายถึง  การมีความรู้ในงาน  ทราบถึงขั้นตอน  รายละเอียดวิธีปฏิบัติอย่างถูกต้องมีความรู้ในการใช้เครื่องใช้สำนักงานสมัยใหม่พอสมควร  หากไม่ทราบวิธีปฏิบัติก็ควรทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องมือเครื่องใช้ที่สำนักงานมีอยู่รู้ความต้องการใช้งานในอนาคต

                   2.  ความชำนาญในการสอนงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา  หมายถึง  สามารถให้คำแนะนำ  ปรึกษาและการเป็นเสมือนพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ปฏิบัติเกิดความรู้สึกมั่นใจในการทำงานมากขึ้น

                   3.  มีความชำนาญในการปรับปรุงระบบและวิธีปฏิบัติ  หมายถึง  มีความคิดในการวิเคราะห์ระบบการทำงานที่ถูกต้อง  มีความข้องตัว  และรวดเร็วยิ่งขึ้น  โดยทำการปรับปรุงจุดที่เห็นว่ามาเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน  หาวิธีการทำงานให้ง่ายขึ้นโดยใช้เทคนิควิธีการปรับปรุง

                   4.  มีความรู้ด้านเทคนิค  หมายถึง  มีความชำนาญในด้านเทคนิคการทำงานโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านต่าง  ๆ  เข้ามาช่วย   และมีเทคนิคในการจูงใจคนและสำคัญกับผู้อื่นเป็นอย่างดี

                   5.  มีความรู้ด้านการบริหาร  หมายถึง  มีความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ถูกต้องสามารถตัดการกับทรัพยากรสำนักงานได้อย่างเหมาะสม  ได้ประโยชน์  มีประสิทธิภาพสูงสุด  มีการวางแผนล่วงหน้ากำหนดเป้าหมายของงานอย่างชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ  สามมรถมอบหมายงานให้แก่บุคคลได้อย่างเหมาะสมเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติสามารถมอบหมายงานให้แก่บุคคลได้อย่างเหมาะสมตามความรู้ความสามมารถ  จะแบ่งหน้าที่งานชัดเจนไม่ก้าวก่ายกัน  ควบผลการปฏิบัติงานไม่ให้เกิดการผิดพลาดเสียหายบกพร่อง

                   การมอบหมายเป็นศิลปะของผู้บริหารสำนักงานในการเลือกใช้คนให้เหมาะสมกับงานการมอบหมายงานที่มีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสำคัญ  ความยากง่ายของงาน  หากเป็นงานที่มีความสำคัญ  การมอบหมายงานจำเป็นต้องพิจารณาตัวบุคคลผู้รับมอบในแง่ความสามารถและความรับผิดชอบงานสำคัญ  ๆ  ได้แก่  งานที่ต้องใช้งบประมาณมาก งานที่ต้องใช้บุคลากรจำนวนมากเป็นงานที่เกี่ยวของกับคนจำนวนมาก  และเป็นงานที่มีผลกระทบต่อหลาย  ๆ  ฝ่ายหากเกิดผิดพลาด  ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้ทึ่มอบหมายงานให้ด้วย  ว่ามีความสามารถกระทำงานนั้นได้เป็นอย่างดีหรือไม่

                   ส่วนการมอบหมายงานที่มีความยาก   ควรมอบหมายให้กับผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านและทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้น  ๆ  เป็นอย่างดี  ดังนั้น  การมอบหมายงานแก่พนักงานในสำนักงานผู้บริหารพิจารณาว่างานใดเหมาะสมกับบุคคลใดมากที่สุด   จะช่วยให้ผลการทำงานเป็นไปตามความคาดหวังมากที่สุด  จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของงานและลักษณะหรือคุณสมบัติของบุคคลเหมาะสมด้วย

สรุป

                   การอำนวยการหรือการสั่งการ  หมายถึง  การใช้ทักษะในการบริหารตลอดจนความสามารถของผู้บริหารในการติดต่อประสานงาน  สั่งการ  และกระตุ้นให้พนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบโดยผู้สั่งการจะต้องมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบแก่ปฏิบัติ  เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติได้แสดงความคิดเห็นบ้างตามความเหมาะสมที่สำคัญคือผู้สั่งการจะต้องพิจารณาผู้ปฏิบัติหรือผู้ทำงานให้เหมาะสมกับงาน  แล้วคอยติดตามงาน  ให้ความช่วยเหลือ  สนับสนุนด้านต่าง  ๆ  รวมไปถึงการให้กำลังใจและผลตอบแทนแก่ผู้ปฏิบัติงานบ้างตามสมควร  เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีกำลังใจ  สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ